โรคหลอดเลือดสมอง หรือ Stroke คือ ภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อสมองได้รับเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ อาจเกิดจากการอุดตันหรือการแตกของหลอดเลือด ส่งผลให้เนื้อเยื่อสมองเสียหาย เนื่องจากขาดออกซิเจนและสารอาหารสำคัญ โรคนี้ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการเสียชีวิตหรือความพิการ
โดยโรคหลอดเลือดสมองแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
- อาการหลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic stroke)
เป็นสาเหตุหลักของโรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากหลอดเลือดสมองอุดตัน ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ เปรียบเสมือนท่อประปาตัน ทำให้น้ำไหลไม่ถึงปลายทาง สมองส่วนที่ขาดเลือดจึงทำงานผิดปกติหรือตายได้ สาเหตุหลักมาจาก
ลิ่มเลือด: เกิดจากก้อนเลือดอุดตันในหลอดเลือดสมอง ทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก
หลอดเลือดแข็งตัว: เหมือนท่อประปาที่มีตะกรันเกาะ ทำให้ท่อแคบลง เลือดไหลผ่านได้น้อยลง
2. อาการหลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic stroke)
เกิดจากหลอดเลือดสมองแตก ทำให้เลือดออกในสมอง เปรียบเสมือนท่อประปาแตก ทำให้น้ำไหลออกจากท่อ ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มาจาก
หลอดเลือดเปราะ: หลอดเลือดอ่อนแอและแตกง่าย มักเกิดจากความดันโลหิตสูง
หลอดเลือดโป่งพอง: หลอดเลือดโป่งออกเป็นถุง แล้วแตกออก
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ stroke คือ
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก คือภาวะที่สมองขาดเลือดหรือมีเลือดออกในสมอง ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจน ส่งผลให้เซลล์สมองตาย ซึ่งอาจนำไปสู่อาการอัมพฤกษ์ อัมพาต พูดลำบาก หรือเสียชีวิตได้
โรคหลอดเลือดสมองสามารถสังเกตุสัญญาณเตือนง่ายๆ ด้วยคำว่า BEFAST
- Balance : เดินเซ มีอาการวิงเวียนศีรษะ บ้านหมุน และสูญเสียการทรงตัว
- Eyes : อาการตาพร่ามัว, ภาพซ้อน
- Face : มีอาการมุมปากตก ปากเบี้ยว หรือหน้าเบี้ยวครึ่งซีก
- Arm : แขนขาอ่อนแรง หรือชาครึ่งซีกอย่างเฉียบพลัน
- S (Speech) : มีอาการพูดไม่ชัด ลิ้นแข็ง พูดลำบาก
- T (Time) : เมื่อเกิดอาการ ให้รีบนำผู้ป่วยไปส่งโรงพยาบาล โดยด่วนที่สุดภายในระยะเวลา 4 ชั่วโม
นอกจากอาการที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว หากคุณสังเกตเห็นอาการผิดปกติอื่นๆ ที่น่าสงสัย ควรปรึกษาแพทย์ทันที
ทำไมต้องรีบไปพบแพทย์?
- สมองขาดเลือด: เซลล์สมองจะเริ่มตายภายในไม่กี่นาทีหลังจากขาดเลือด
- ความเสียหายถาวร: การรักษาที่ล่าช้าอาจทำให้เกิดความเสียหายถาวร เช่น อัมพฤกษ์ อัมพาต
- เพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว: การรักษาที่รวดเร็วจะช่วยลดความเสียหายของสมองและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัว
การไปพบแพทย์ทันทีเป็นสิ่งสำคัญที่สุด หากคุณสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดกำลังประสบภาวะหลอดเลือดสมอง อย่าลังเลที่จะโทรเรียกรถพยาบาลหรือไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก เป็นหนึ่งในโรคที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลก และส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก อาการของโรคนี้มักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง อาจทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต พูดลำบาก หรือเสียชีวิตได้ การป้องกันโรคนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
ปัจจัยเสี่ยงจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต
นอกจากปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน และไขมันในเลือดสูงแล้ว พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเราก็มีส่วนสำคัญในการเพิ่มหรือลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้เช่นกัน มาดูกันว่าพฤติกรรมแบบไหนบ้างที่เราควรหลีกเลี่ยง
พฤติกรรมเสี่ยงที่ควรรู้
- การสูบบุหรี่: นิโคตินในบุหรี่จะทำให้หลอดเลือดตีบและแข็งตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: การดื่มมากเกินไปจะเพิ่มความดันโลหิต และทำให้อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ
- การรับประทานอาหารไม่ถูกต้อง: การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง โซเดียมสูง และคอเลสเตอรอลสูง จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมอง
- ขาดการออกกำลังกาย: การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความดันโลหิต และลดระดับไขมันในเลือด
- ความเครียด: ความเครียดเรื้อรังจะทำให้หลั่งฮอร์โมนที่เพิ่มความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ
- การนอนไม่เพียงพอ: การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอจะส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น
- การใช้สารเสพติด: สารเสพติดบางชนิด เช่น โคเคน เมทแอมเฟตามีน จะทำให้หลอดเลือดตีบและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือด
วิธีปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยง
- เลิกสูบบุหรี่: การเลิกสูบบุหรี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด
- ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์: หรือเลิกดื่มไปเลย
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์: เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนจากปลา
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
- จัดการความเครียด: หาเวลาพักผ่อน พูดคุยกับคนใกล้ชิด หรือทำกิจกรรมที่ชอบ
- นอนหลับให้เพียงพอ: พยายามนอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
- หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติด
ปัจจัยเสี่ยงจากโรคประจำตัวและความผิดปกติ
นอกจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เราสามารถควบคุมได้แล้ว โรคประจำตัวและความผิดปกติบางอย่างก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่เพิ่มโอกาสในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้เช่นกัน มาดูกันว่าโรคอะไรบ้างที่เป็นปัจจัยเสี่ยง
โรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยง
- โรคความดันโลหิตสูง: เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุด ความดันโลหิตสูงทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและเสื่อมสภาพ
- โรคเบาหวาน: ทำให้หลอดเลือดแข็งตัวและเสื่อมสภาพได้ง่ายขึ้น
- โรคไขมันในเลือดสูง: ไขมันไปเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดตีบ
- โรคหัวใจ: โรคหัวใจบางชนิด เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Atrial fibrillation) อาจทำให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหัวใจ และเมื่อลิ่มเลือดหลุดไปอุดตันในหลอดเลือดสมอง ก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองได้
- โรคหลอดเลือดแดงคอ: เป็นโรคที่หลอดเลือดแดงคอตีบหรือแข็งตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
ปัจจัยอื่น ๆ
อายุที่มากขึ้นเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักของโรคหลอดเลือดสมอง เนื่องจากหลอดเลือดเสื่อมสภาพตามวัย นอกจากนี้ เพศชาย ประวัติครอบครัว และปัจจัยอื่นๆ ก็มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงได้เช่นกันการรวมพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดี และการดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้อย่างมาก
ภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดจากโรคหลอดเลือดสมองได้
โรคหลอดเลือดสมอง ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตในระยะยาวได้อีกด้วย ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ขึ้นอยู่กับขนาดและตำแหน่งของบริเวณสมองที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจรวมถึง
ภาวะแทรกซ้อนทางร่างกาย
- อัมพฤกษ์ อัมพาต: เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด อาจเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตเพียงข้างเดียวหรือทั้งสองข้าง ขึ้นอยู่กับบริเวณที่สมองได้รับความเสียหาย
- ปัญหาในการกลืน: ทำให้เสี่ยงต่อการสำลักอาหาร และอาจนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหาร
- ปัญหาในการควบคุมปัสสาวะและอุจจาระ: เกิดจากความเสียหายของสมองส่วนที่ควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ใหญ่
- ความผิดปกติทางสายตา: อาจมองเห็นภาพซ้อน ตาพร่ามัว หรือตาบอดสนิท
- ความผิดปกติทางการได้ยิน: อาจได้ยินเสียงผิดเพี้ยน หรือหูหนวก
- ภาวะปวด: อาจมีอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ หรือปวดข้อ
- ภาวะซึมเศร้า: เป็นภาวะแทรกซ้อนทางอารมณ์ที่พบบ่อยในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
ภาวะแทรกซ้อนทางความคิดและอารมณ์
- ปัญหาในการพูด: พูดไม่ชัด พูดติดอ่าง หรือไม่สามารถสื่อสารได้
- ปัญหาในการเข้าใจภาษา: อาจไม่เข้าใจคำพูดของผู้อื่น หรือไม่สามารถอ่านหรือเขียนได้
- ความจำเสื่อม: อาจจำเรื่องราวใหม่ๆ ไม่ได้ หรือจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้
- การเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพ: อาจกลายเป็นคนหงุดหงิด โมโหง่าย หรือซึมเศร้า
- ภาวะสมองเสื่อม: ในระยะยาว ผู้ป่วยบางรายอาจพัฒนาไปสู่ภาวะสมองเสื่อม
ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ
- ภาวะลิ่มเลือดอุดตัน: อาจเกิดลิ่มเลือดอุดตันที่ปอด หรือหลอดเลือดส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
- การติดเชื้อ: เนื่องจากภูมิคุ้มกันลดลง หรือการดูแลตัวเองไม่ดีพอ
- ภาวะขาดสารอาหาร: เกิดจากการรับประทานอาหารไม่เพียงพอ หรือปัญหาในการกลืน
เราสามารถป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง หรือ สโตรก อย่างไรได้บ้าง?
โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ หากเราดูแลสุขภาพของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองสามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และควบคุมปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้ดังนี้ครับ
7 การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพที่ดี
-
การควบคุมอาหาร
- เลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนจากปลา
- ลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง โซเดียมสูง และน้ำตาลสูงหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ
2. หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์
3. ควบคุมน้ำหนัก
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
4. เลิกสูบบุหรี่
- การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง
5. ลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปสามารถทำให้ความดันโลหิตเพิ่มขึ้นได้
6. จัดการความเครียด อย่าปล่อยปละละเลย
- หาเวลาพักผ่อน พูดคุยกับคนใกล้ชิด หรือทำกิจกรรมที่ชอบ เพื่อให้เกิดอาการเครียดจนมากเกิน
7. ควรนอนหลับให้เพียงพอ
- พยายามนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
ควบคุมโรคประจำตัว
- ความดันโลหิตสูง: ควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- โรคเบาหวาน: ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- โรคไขมันในเลือดสูง: ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- โรคหัวใจ: ดูแลรักษาโรคหัวใจตามคำแนะนำของแพทย์
หมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ
- ตรวจความดันโลหิต: ควรตรวจความดันโลหิตอย่างน้อยปีละครั้ง
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด: ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตามคำแนะนำของแพทย์
- ตรวจระดับไขมันในเลือด: ควรตรวจระดับไขมันในเลือดตามคำแนะนำของแพทย์
คอยสังเกตอาการอยู่ตลอด
- เรียนรู้สัญญาณเตือนของโรคหลอดเลือดสมอง: เช่น ใบหน้าเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด
- หากสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมองเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะโรคนี้สามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและคุณภาพชีวิตได้อย่างรุนแรง การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กน้อย ก็สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้อย่างมาก
การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมอง มีอะไรบ้าง
เมื่อสงสัยว่าตนเองหรือผู้อื่นอาจเป็นโรคหลอดเลือดสมอง แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยเพื่อยืนยันโรคและหาสาเหตุที่แน่ชัด การตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดสมองมีหลายวิธี ดังนี้
1. การซักประวัติและตรวจร่างกาย
- ประวัติการเจ็บป่วย: แพทย์จะสอบถามเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้น เช่น อาการชา อ่อนแรง ปวดศีรษะ มองเห็นภาพซ้อน พูดลำบาก เป็นต้น รวมถึงประวัติโรคประจำตัวอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง
- การตรวจร่างกาย: แพทย์จะตรวจร่างกายโดยละเอียด โดยเฉพาะระบบประสาท เพื่อประเมินความสามารถในการเคลื่อนไหว ความรู้สึก การพูด และการมองเห็น
2. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- ตรวจเลือด: เพื่อตรวจหาความผิดปกติของเลือด เช่น การแข็งตัวของเลือด ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับไขมันในเลือด
- ตรวจปัสสาวะ: เพื่อตรวจหาความผิดปกติของไต
3. การตรวจทางรังสีวิทยา
- เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan): ใช้เพื่อตรวจหาเลือดออกในสมอง หรือดูความเสียหายของเนื้อสมอง
- การถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI): ให้ภาพสมองที่ละเอียดกว่า CT Scan สามารถตรวจพบความผิดปกติของเนื้อสมองได้ชัดเจนขึ้น
- การตรวจหลอดเลือดสมองด้วยสารทึบรังสี (Angiography): ใช้ตรวจดูหลอดเลือดในสมองว่ามีการตีบหรือแตกหรือไม่
- การตรวจ Doppler Ultrasound: ใช้ตรวจดูการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดคอ
4. การตรวจอื่นๆ
- คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG): เพื่อตรวจหาความผิดปกติของจังหวะการเต้นของหัวใจ
- การเจาะน้ำไขสันหลัง: ในบางกรณี แพทย์อาจทำการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อตรวจหาความผิดปกติของน้ำไขสันหลัง
การเลือกวิธีการตรวจวินิจฉัยจะขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์
ทำไมต้องตรวจวินิจฉัย?
- ยืนยันการวินิจฉัย: เพื่อยืนยันว่าอาการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่
- หาสาเหตุ: เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคหลอดเลือดสมอง
- วางแผนการรักษา: เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล
- ประเมินความรุนแรงของโรค: เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น
หลังจากตรวจพบแล้วมีวิธีการรักษาอย่างไรบ้าง
หลังจากที่แพทย์ได้ทำการวินิจฉัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดสมองแล้ว การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค โดยมีเป้าหมายหลักคือ เพื่อหยุดการทำลายเซลล์สมอง ลดความเสียหาย และฟื้นฟูสมรรถภาพที่สูญเสียไป
วิธีการรักษาโดยทั่วไป
- การรักษาที่รวดเร็ว: การรักษาต้องเริ่มต้นโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ
- ยารักษา:
- ยาละลายลิ่มเลือด: ใช้สำหรับผู้ป่วยที่เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบ โดยต้องให้ยาภายในระยะเวลาที่กำหนด
- ยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด: เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดอุดตันซ้ำ
- ยาลดความดันโลหิต: สำหรับผู้ป่วยที่มีความดันโลหิตสูง
- ยาละลายลิ่มเลือดในสมอง: อาจใช้ในบางกรณีที่เหมาะสม
- การผ่าตัด: ในบางกรณี อาจจำเป็นต้องผ่าตัดเพื่อหยุดเลือดออก หรือเอาลิ่มเลือดออก
- การฟื้นฟูสมรรถภาพ: หลังจากการรักษาเบื้องต้นแล้ว ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพ เพื่อช่วยให้ร่างกายกลับมาทำงานได้ตามปกติมากที่สุด เช่น การทำกายภาพบำบัด การพูดบำบัด การทำงานบำบัด
การรักษาแต่ละรายจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับ
- สาเหตุของโรค: เกิดจากหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก
- ตำแหน่งที่เกิดความเสียหายในสมอง: บริเวณใดของสมองที่ได้รับผลกระทบ
- ความรุนแรงของโรค: อาการรุนแรงมากน้อยเพียงใด
- สภาพร่างกายโดยรวมของผู้ป่วย: อายุ โรคประจำตัวอื่นๆ
เป้าหมายของการรักษา
- หยุดการทำลายเซลล์สมอง: ป้องกันไม่ให้เซลล์สมองตายเพิ่มขึ้น
- ลดความเสียหาย: ลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสมอง
- ฟื้นฟูสมรรถภาพ: ช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้มากที่สุด
- ป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำ: ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดสมองซ้ำ
การฟื้นตัวจากโรคหลอดเลือดสมอง
ระยะเวลาในการฟื้นตัวของผู้ป่วยแต่ละรายจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุ สภาพร่างกายก่อนเกิดโรค ความรุนแรงของโรค และการรักษาที่ได้รับ ผู้ป่วยบางรายอาจฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและสมบูรณ์ ในขณะที่บางรายอาจต้องใช้เวลานานในการฟื้นตัว หรืออาจมีอาการบางอย่างหลงเหลืออยู่
การดูแลผู้ป่วยหลังการรักษา
- การรับประทานยา: ผู้ป่วยต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างสม่ำเสมอ
- การไปพบแพทย์ตามนัด: เพื่อติดตามอาการและปรับเปลี่ยนการรักษา
- การทำกายภาพบำบัด: เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกาย
- การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม: เช่น การเลิกสูบบุหรี่ การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย
โรคหลอดเลือดสมอง เป็นภาวะที่เกิดจากการที่หลอดเลือดในสมองอุดตันหรือแตก ทำให้เซลล์สมองขาดออกซิเจนและตาย การรักษานั้นมีความสำคัญมาก เพราะยิ่งได้รับการรักษาเร็วเท่าไหร่ โอกาสที่จะฟื้นตัวก็จะมากขึ้นเท่านั้น วิธีการรักษา ขึ้นอยู่กับสาเหตุและความรุนแรงของโรค
บลู เมดิแคร์ เจเเปน (Blue Medicare Japan) หรือ BluMed ดำเนินการโดยบริษัท บลู แอสซิสแท็นซ จำกัด ก่อตั้งขึ้นภายใต้แนวคิดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการจัดการท่องเที่ยวเพื่อมุ่งเน้นในการป้องกัน และการดูแลสุขภาพ เพื่อชะลอการเจ็บป่วย รวมไปถึงการรักษาโรคแก่ผู้รับบริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
BluMed ได้ร่วมมือกับคลินิกทางการแพทย์ที่ญี่ปุ่น ในการให้คำปรึกษาและจัดการความเจ็บปวดอย่างเหมาะสม ตามอาการของแต่ละบุคคล สำหรับผู้ที่สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญได้ที่
เบอร์โทรศัพท์ : 02-661-7686
Website : blumedth.com/
Line official : @blumed